วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2552

การควบคุมฝ่ายปกครอง : กรณีคณะกรรมการพิจารณาภาพยนต์และวีดิทัศน์เซ็นเซอร์ภาพยนต์

บทนำ

ปัจจุบัน เราสามารถเข้าถึงและใช้สื่อต่างๆได้อย่างเสรีและมีอิสระภาพมากขึ้นกว่าเดิม แต่ยังมีข้อจำกัดบางประการโดยตัวบทกฎหมายอยู่้บ้าง

ตามรัฐธรรนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 45 "บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่นใด" และในวรรคสอง "การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย..." ซึ่งบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว เช่น พระราชบัญญัติภาพยนต์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551

ประเด็นที่เป็นปัญหาและมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางคือการทำงานของ คณะกรรมการพิจารณาภาพยนต์และวีดิทัศน์ในการเข้าตรวจสอบและควบคุมเนื้อหาของ ภาพยนต์ที่จะออกฉาย

เมื่อไม่นานมานี้ประเด็นเกี่ยวกับคณะกรรมการฯดังกล่าวได้เกิดขึ้นอีก ครั้งหนึ่ง เนื่องจากได้มีการพิจารณาและออกคำสั่งให้ภาพยนต์เรื่อง"เชือดก่อนชิม"ตัดทอน เนื้อหาบางส่วนออก หากไม่ปฏิบัติตามจะไม่อนุญาตให้นำออกฉายได้

เรื่องนี้มีประเด็นกฎหมายที่น่าสนใจอยู่หลายเรื่อง เช่น เจ้าของภาพยนต์สมารถดำเนินการเช่นไรได้บ้าง? ดุลพินิจของคณะกรรมการฯ อยู่ในข่ายของการควบคุมตรวจสอบของหน่วยงานใด? ฯลฯ รายละเอียดดังจะกล่าวต่อไปนี้

คณะกรรมการพิจารณาภาพยนต์และวีดิทัศน์

1. องค์ประกอบ

ตามความในพระราชบัญญัติภาพยนต์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551 หมวดที่ 2 มาตรา 16 ได้กำหนดคุณลักษณะและโครงสร้างของคณะกรรมการฯ ไว้ คือ

ให้ มีคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์คณะหนึ่งหรือหลายคณะ โดยแต่ละคณะให้ประกอบด้วยบุคคลซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งตามข้อเสนอของคณะกรรมการ

คณะ กรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตามมาตรา ๑๘ (๑) ให้มีจำนวนไม่เกินเก้าคน โดยแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านการต่างประเทศ ภาพยนตร์ ศิลปวัฒนธรรม สื่อสารมวลชน หรือสิ่งแวดล้อม ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการภาพยนตร์

คณะ กรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตามมาตรา ๑๘ (๒) (๓) (๔) และ (๕) ให้มีจำนวนไม่เกินเจ็ดคน โดยแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านภาพยนตร์ วีดิทัศน์ โทรทัศน์ ศิลปวัฒนธรรม หรือการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งต้องแต่งตั้งจากเจ้าหน้าที่ของรัฐจำนวนไม่เกินสี่คนและจากภาคเอกชนจำนวน ไม่เกินสามคน

จะสังเกตได้ว่าคณะกรรมการฯที่ได้รับการแต่งตั้งจำนวนจะมากหรือน้อยขึ้น อยู่กับประเด็นในการพิจารณาว่าเรื่องนั้นๆเป็นเรื่องสำคัญหรือไม่

2.อำนาจหน้าที่

ตามความในมาตรา 18

คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้

(1) อนุญาตการสร้างภาพยนตร์ต่างประเทศในราชอาณาจักร

(2) ตรวจพิจารณาและกำหนดประเภทภาพยนตร์ที่จะนำออกฉาย ให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายในราชอาณาจักร

(3) อนุญาตการนำวีดิทัศน์ออกฉาย ให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายในราชอาณาจักร

(4) อนุญาตการนำสื่อโฆษณาออกโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ในราชอาณาจักร

(5) อนุญาตการส่งภาพยนตร์หรือวีดิทัศน์ออกไปนอกราชอาณาจักร

(6) ปฏิบัติการอื่นตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการพิจารณา ภาพยนตร์และวีดิทัศน์หรือตามที่รัฐมนตรีหรือคณะกรรมการมอบหมาย

ประเด็นที่เกิดปัญหามากที่สุดคือ อำนาจหน้าที่ตาม (2) คือ การตรวจพิจารณาและกำหนดประเภทภาพยนต์ที่จะนำออกฉาย เนื่องจากส่งผลโดยตรงต่อภาพยนต์ไม่ว่าจะเป็นการตัดทอนหรือไม่อนุญาตให้ออก ฉาย

การตรวจพิจารณาภาพยนต์ที่นำออกฉาย

พระราชบัญญัติภาพยนต์และวีดิทัศน์ฯ กำหนดให้ภาพยนต์ที่จะทำการออกฉายต้องได้รับการตรวจพิจารณาและอนุญาตจากคณะ กรรมการพิจารณาภาพยนต์และวีดิทัศน์1 โดย ในการตรวจพิจารณานี้คณะกรรมการจะคำนึงถึงเนื้อหาของภาพยนต์ว่ามีลักษณะบ่อน ทำลาย ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนหรืออาจกระทบกระทือนต่อ ความมั่นคงของรัฐและเกียรติภูมิของประเทศไทยหรือไม่

พิจารณาแล้วจะเห็นว่า เรื่องนี้เป็นส่วนเหตุทางกฎหมาย คณะกรรมการฯสามารถใช้ดุลพินิจประเภทที่เรียกว่าดุลพินิจพิจารณา2ได้ เพราะข้อความทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นคำว่า บ่อนทำลายก็ดี ขัดต่อความสงบเรียบร้อยฯ ก็ดี ล้วนแล้วแต่มีลักษณะเป็นถ้อยคำทางกฎหมายที่มีลักษณะไม่เฉพาเจาะจง

หากพิจารณาแล้วเห็นว่าอยู่ในข่ายดังกล่าวคณะกรรมการฯอาจมีคำสั่งอนุญาตแต่ให้แก้ไข,ตัดทอนก่อนอนุญาต หรือไม่อนุญาตให้ออกฉาย3 ดุลพินิจในส่วนผลของกฎหมายนี้เป็นดุลพินิจประเภท ดุลพินิจตัดสินใจ

การควบคุมการตรวจพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาภาพยนต์และวีดิทัศน์

หลักทั่วไป

การควบคุมฝ่ายปกครอง4อาจแบ่งประเภทได้เป็น 2 ประเภทใหญ่คือ การควบคุมภายนอก และการควบคุมภายใน พิจารณาได้ดังนี้

(1) การควบคุมภายใน

โดยปกติการควบคุมแบบภายในอาจแบ่งออกได้เป็น

(1.1) ควบคุมบังคับบัญชา

เป็นการควบคุมที่ใมีลักษณะที่แบ่งออกเป็นสองฝ่ายคือ ผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา โดยผู้บังคับบัญชาสามารถตรวจสอบควบคุมดุลพินิจของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาได้ ทั้งในแง่ความชอบด้วยกฎหมายและความเหมาะสม(ดุลพินิจ)

(1.2) ควบคุมแบบกำกับดูแล

เป็นการควบคุมที่ไม่มีเรื่องลำดับชั้นบังคับบัญชาเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เป็นการควบคุมจากฝ่ายปกครองอื่นๆที่ไม่อยู่ในสายงานบังคับบัญชา ได้แก่บรรดาคณะกรรมการต่างๆที่ถูกต้องขึ้นมากำกับดูแลฝ่ายปกครอง เช่น คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กทช.) ที่ถูกตั้งขึ้นมากำกับดูแลกิจการเกี่ยวกับบริการโทรคมนาคม เป็นต้น ซึ่งการควบคุมแบบกำกับดูแลจะสามารถพิจารณาได้เฉพาะความชอบด้วยกฎหมายเท่า นั้น(ดุลพินิจ)

(2) การควบคุมภายนอกฝ่ายปกครอง

ซึ่งได้แก่ การควบคุมความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำทางปกครองโดยศาลปกครอง การควบคุมโดนรัฐสภา และการควบคุมโดยผู้ตรวจการแผ่นดิน

การอุทธรณ์คำสั่งคณะกรรมการพิจารณาภาพยนต์และวีดิทัศน์

ในกรณีทีู่้ได้รับการกระทบกระเทือนสิทธิจากคำสั่งของคณะกรรมการพิจารณา ภาพยนต์และวีดิทัศน์ไม่พ้องด้วยกับคำสั่งดังกล่าว สามารถอุทธรณ์คำสั่งต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้ภายใน 15 วันนับแต่ได้รับคำสั่ง และให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์ หากพิจารณาไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าวให้ถือว่าเห็นด้วยกับคำ อุทธรณ์5

การยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครอง

หากผู้ถูกกระทบสิทธิจากคำสั่งของคณะกรรมการพิจารณาภาพยนต์และวีดิทัศน์ ไม่เห็นด้วยกับการพิจารณาอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ย่อมสามารถยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งนี้ได้6

ประเด็นที่ต้องพิจารณาคือ ขอบเขตที่ศาลปกครองสามารถตรวจสอบการใช้ดุลพินิจในการออกคำสั่งของคณะกรรมการ พิจารณาภาพยนต์ฯ ได้มากน้อยเพียงไร

โดยหลักทั่วไป ศาลปกครองสามารถเข้าไปตรวจสอบได้เฉพาะแดนที่เป็นการใช้ดุลพินิจวินิจฉัย สำหรับดุลพินิจตัดสินใจศาลมิอาจก้าวล่วงได้เนื่องจากเป็นแดนอิสระของฝ่าย ปกครองโดยแท้

อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาองค์ประกอบและที่มาของคณะกรรมการฯดังกล่าว พบว่าได้รับการแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ซึ่งศาลปกครองโดยหลักแล้วจะหลีกเลี่ยงไม่เข้าไปวินิจฉัย เว้นแต่ เป็นกรณีที่ปรากฏอย่างชัดแจ้งว่าดุลพินิจตัดสินใจนั้นไม่ถูกต้อง ซึ่งวิญญูชนทั่วไปก็มีความสามารถในการรับรู้เช่นน้้นได้

บทสรุปและข้อเสนอแนะ

ในประเทศที่ปกครองระบอบประชาธิไตย ปัจเจกชนล้วนแล้วแต่มีสิทธิและเสรีถาพที่จะคิดและสื่อออกมาอย่างเสรีที่สุด เท่าที่จะทำได้ หากแต่เพื่อประโยชน์ต่อความสงบเรียบร้อยของประเทศแล้ว สิทธิและเสรีภาพดังกล่าวย่อมถูกจำกัดได้บ้างโดยบทกฎหมายที่มีลักษณะชัดเจน แน่นอน บังคับใช้อย่างเสมอภาคกัน โดยไม่มีผลย้อนหลังในทางที่เป็นโทษ ไม่กระทบกระเทือนสารัตถะแห่งสิทธิ หากจะกระทบบ้างจะต้องได้สัดส่วนกับประโยชน์สาธารณะ

หลักความได้สัดส่วนนี้เองที่ผู้เขียนเห็นควรนำมาเป็นมาตรปฏิบัติต่อการตรวจภาพยนต์ของคณะกรรมการพิจารณาภาพยนต์และวีดิทัศน์ กล่าวคือ

(1) มาตรการหรือคำสั่งของคณะกรรมการพิจารณาฯที่ออกมาจะต้องทำให้เป็นผลสำเร็จได้ จริง กล่าวคือ บรรดาคำสั่งที่อนุญาตโดยให้ตัดทอน หรือไม่อนุญาตให้ออกฉายนั้น จะต้องเป็นไปตามความมุ่งหมายของบทกฎหมายอันเป็นไปเพื่อป้องกันและรักษาความ สงบเรียบร้อยของสังคม(ประโยชน์สาธารณะ) หากการใช้ดุลพินิจของคณะกรรมการพิจารณาฯ ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกฎหมายแล้ว ย่อมจะเป็นการกระทำทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(2) ในกรณีที่มีมาตรการอันทำให้เกิดผลสำเร็จในการรักษาความสงบเรียบร้อยของ สังคมมากกว่า 1 หนึ่งมาตรการ คณะกรรมการพิจารณาฯจะต้องเลือกใช้มาตรการที่จำเป็นเท่านั้น เช่น กรณีที่ความรุนแรงของเนื้อหาและภาพที่ปรากฏนั้น มาตรฐานของวิญญูชนพิจารณาแล้วไม่เป็นในทางยั่วยุทางเพศ หากคณะกรรมการพิจารณาฯ ออกคำสั่งไม่อนุญาตให้ออกฉายย่อมเป็นมาตรการที่เกินกว่าจำเป็น ซึ่งขัดต่อหลักการทั่วไปทางรัฐธรรมนูญ

(3) คณะกรรมการพิจารณาฯจะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง โดยต้องชั่งน้ำหนักระหว่างผลกระทบที่เกิดขึ้นกับปัจเจกชนที่เป็นเจ้าของ ภาพยนต์กับประโยชน์ที่สังคม(สาธารณะ)จะได้รับ

ธรรมดาผลงานของผู้ใด ผู้สร้างสรรค์ย่อมผลิตงานออกมาด้วยความตั้งมั่น อุตสาหวิริยะ ดังนั้นผลิตผลที่เกิดออกมาจากกระบวนการทำงานเช่นภาพยนต์ย่อมมีความสำคัญ เปรียบประหนึ่งดังบุตรของผู้สร้างสรรค์ หากเกิดกรณีที่มีการใช้อำนาจของคณะกรรมการพิจารณาภาพยนต์และวีดิทัศน์อย่าง ไม่มีขอบเขต การกระทำดังกล่าวนี้อาจเป็นอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาบุคลิกภาพของปัจเจกชนภาย ใต้กฎหมาย อันขัดต่อหลักนิติรัฐ อีกทั้งเป็นเครื่องกีดขวางความพัฒนาของสังคมอีกด้วยประการหนึ่ง.

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

1.ภาษาอย่างไม่เป็นทางการเรามักเรียกว่า "กองเซ็นเซอร์"
2.ผู้สนใจโปรดดูบทความของผู้เขียนชื่อ ว่าด้วยดุลพินิจฝ่ายปกครองและการควบคุมโดยศาลปกครอง
3.มาตรา 2 พ.ร.บ.ภาพยนต์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551
4.ผู้สนใจโปรดดู บรรเจิด สิงคะเนติ,หลักกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมฝ่ายปกครอง,สำนักพิมพ์วิญญูชน
5.มาตรา 66 อ้างแล้ว 3.
6. ตามความในมาตรา 9(1) ประกอบมาตรา 72(1) แห่งพระราชบัญญัติจกตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น